|
ส่วนผสมของสารและส่วนผสมที่มีกลิ่นและสารที่ขึ้นอยู่กับสารเหล่านี้อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายชนิดซึ่งใช้เป็นอุตสาหกรรมวัสดุภัณฑ์ (ยกเว้นอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มและโซลูชันที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์) ผลิตภัณฑ์ของเราไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์และไม่ถือว่าเป็นน้ำหอมและน้ำสบู่ |
|
By Janhom.com ( บาย จันหอม ดอทคอม ) |
ผู้นำเข้าน้ำมันหอมระเหย จากประเทศ ฝรั่งเศส ทางร้านมีให้เลือก มากกว่า 2,000 กลิ่น เพื่อนำไปใช้งาน ได้ หลากหลาย ผลิตภัณฑ์ หลายกลุ่ม เช่น |
spa product ผลิตภัณฑ์สปา , women's perfume สำหรับผู้หญิง, men's perfume สำหรับผู้ชาย, |
cologne, skin care ดูแลรักษาผิวพรรณ, makeup เครื่องสำอาง, hair care ดูแลรักษาเส้นผม, aromatherapy การบำบัดด้วยกลิ่น, |
candles เทียนหอม, Joss stick ธูปหอม, Car care ดูแลรถยนต์, home care ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับการดูแลรักษาบ้าน เช่น สบู่ ผงซักฟอก น้ำยาล้างจาน น้ำยาซักผ้า น้ำยาปรับผ้า น้ำยาทำความสะอาดพื้น |
|
ความเป็นมาของน้ำหอม |
เราเชื่อกันว่า นํ้าหอมนั้นเกิดขึ้นมานานแล้ว จากหลักฐานภาพวาดจิตรกรรมฝาผนังตอนหนึ่งที่วิหารของพระราชินี Hatshepsut ที่เมือง Thebes ในประเทศ Egypt ที่เป็นรูปของหญิงสาวชาวอียิปต์โบราณกำลังชโลมนํ้าหอมลงบนศรีษะ ซึ่งได้แสดงให้เห็นว่ามีการใช้นํ้าหอมกันแล้วในยุคนั้น ซึ่งคาดว่านักเดินเรือชาวอียิปต์ได้ไปนำมาจากดินแดนอื่น นํ้าหอมในสมัยโบราณนั้นจะทำมาจากยางไม้หอม ซึ่งยางไม้หอมแบบนี้จะมีอยู่ที่ Arabia และ Somalia เท่านั้น ส่วนคำว่า "Perfume" นี้มีรากศัพท์มาจากภาษาละติน ที่แปลว่า "ควัน" |
|
|
|
ผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุด Aroma reed Diffusers Essential Oil 2015 |
|
|
ในกรีก (Greek) โบราณคนที่ทำนํ้าหอมนั้นจะเป็นผู้หญิง ซึ่งได้ปรับปรุงมรดกการทำนํ้าหอมที่ตกถอดมาจากชาวอียิปต์โบราณให้พัฒนาดีขึ้นไป ในช่วงเวลาของจักรวรรดิโรมัน (Roman) การทำนํ้าหอมเขาจะใช้ยางไม้หอมจากต้นไม้จำพวก Boswellia โดยสั่งนำเข้ามาจาก Arabia และได้บวกกับส่วนผสมที่ได้มาจากทะเลของประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นส่วนผสมใหมที่ใส่ลงไป ในการทำนํ้าหอมของชาวโรมันในสมัยนั้น เศรษฐีชาวโรมันจะใช้นํ้าหอมตามความพอใจ ชนิดที่เรียกได้ว่าใช้แบบล้างผลาญเลยก็ว่าได้ นั่นก็คือ พวกเศรษฐีเหล่านี้จะนำนํ้าหอมไปพ่น และฉีดตามพื้นและกำแพงบ้านของตัวเอง และนอกจากนี้ยังนำนํ้าหอมไปฉีดให้กับสัตว์เลี้ยงของบรรดาเศรษฐีอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น สุนัข และ ม้า |
แต่ก้าวสำคัญในประวัติศาสตร์ของนํ้าหอมนั้นจะเกิดขึ้นในยุคกลาง (Middle ages) เมื่อชาวอาหรับ (Arabs) ได้คิดค้นพัฒนาเทคนิคในการกลั่นนํ้าหอมได้เป็นผลสำเร็จ พื้นที่ขนาดใหญ่โตของอาณาจักรเปอร์เซีย ได้ทำการปลูกดอกกุหลาบ เพื่อที่จะนำมาสกัดเป็นนํ้าหอม เนื้อที่ที่ใช้ปลูกดอกกุหลาบนี้ใหญ่โตมหาศาลมาก จนถึงกับมีเรื่องเล่าขานกันว่า "กรุง Baghdad" (เมืองหลวงของประเทศอิรักในปัจจุบัน) ในสมัยนั้นได้สมญานามที่เรียกขานกันว่า "City of Fragrances" นอกจากนี้ชาวอาหรับยังได้ค้นพบส่วนผสมตัวใหม่ในการทำนํ้าหอมอีกด้วย นั่นก็คือ สารที่ได้จากตัวชะมด หรือ กลิ่นชะมดนั่นเอง ชาวอาหรับได้นำเจ้ากลิ่นชะมดนี้ไปผสมกับปูนขาว และพวกเขาก็นำปูนขาวที่ได้นี้ไปใช้สร้างสุเหร่า (Mosque) และพระราชวัง ซึ่งก็ทำให้ได้สุเหร่า และพระราชวังที่มีกลิ่นหอมไปทั่วทั้งเมือง และนี่คืออีกหนึ่งที่มาจากเรื่องเล่าถึงคำว่า "City of Fragrances" นั่นเอง ในช่วงสมัยของ Crusaders ได้นำเครื่องหอมจากอาหรับไปให้ชาวยุโรปได้รู้จัก และนี่คือก้าวแรกสำหรับน้ำหอมในสมัยนั้น |
ประวัติของน้ำหอมประเทศฝรั่งเศส |
ประเทศฝรั่งเศสได้กลายเป็นศูนย์กลางทางยุโรปในการผลิตน้ำหอมและเครื่องสำอางอย่างรวดเร็ว จึงมีการเพาะปลูกดอกไม้สำหรับใช้เป็นส่วนประกอบสำคัญในการผลิตน้ำหอม โดยในศตวรรษที่ 14 มีการเติบโตขึ้นเป็นอุตสาหกรรมหลักในภาคใต้ของฝรั่งเศส และในช่วงระหว่างยุคเรเนซอง น้ำหอมได้ถูกนำมาใช้โดยการนำพาของเหล่าพระบรมวงศานุวงศ์และเศรษฐีชาวฝรั่งเศสวัตถุประสงค์เพื่อปกปิดกลิ่นกาย จนทำให้เกิดการใช้อย่างต่อเนื่องเป็นประจำ และเนื่องจากการที่พระบรมวงศานุวงศ์ได้นำน้ำหอมมาใช้กันอย่างแพร่หลาย พระมหากษัตริย์ในสมัยนั้นจึงมีพระราชูปถัมภ์ในอุตสาหกรรมการผลิตน้ำหอม ซึ่งอุตสาหกรรมน้ำหอมทางตะวันตกจึงได้ถูกสร้างขึ้น ณ เวลานั้น และยังได้รับความนิยมสืบมาจนกระทั่งในช่วงศตวรรษที่ 17 เป็นที่แพร่หลายอย่างมาก |
ต่อมาในศตวรรษที่18 พระเจ้าหลุยส์ที่สิบห้าเสด็จขึ้นสู่บัลลังก์ พระองค์ได้นำน้ำหอมมาใช้ในชีวิตประจำวัน จนทำให้พระองค์มีความคิดที่อยากจะมีกลิ่นหอมที่แตกต่างกันไว้ใช้ในพิธีสำคัญต่างๆ พระองค์จึงมีรับสั่งให้ ข้าราชบริพารไปจัดหาน้ำหอมให้มีกลิ่นหลากหลายนำมาถวาย นอกจากนี้พระเจ้าหลุยส์ที่สิบห้ายังทรงรับสั่งให้ข้าราชบริพารนำน้ำหอมมาประยุกต์ใช้ในการสร้างศาลซึ่งเรียกว่า “เลอ กู ปาร์ฟูเม่” (ศาลน้ำหอม) อีกด้วย ทำให้ทราบว่าในสมัยก่อนนอกจากที่จะนำมาใช้ในชีวิตประจำวันยังไม่พอ ชาวฝรั่งเศสยังนำมาใช้กับเสื้อผ้า,เฟอร์นิเจอร์ และน้ำหอมยังสามารถนำไปชำระร่างกายแทนสบู่และน้ำเพื่อประทินโฉมให้กับหนุ่มสาวในสมัยนั้น ต่อมาการใช้น้ำหอมในฝรั่งเศสได้รับความนิยมขึ้นเรื่อย ๆ โดยในศตวรรษที่18 นี้เองได้มีการนำพรรณไม้หอมนานาชนิดไปปลูกยังภูมิภาคของประเทศฝรั่งเศส ณ เมือง Grasse เพื่อให้อุตสาหกรรมน้ำหอมที่กำลังเติบโตอยู่นี้อุดมด้วยวัตถุดิบหลัก |
ต่อมาในยุคของนโปเลียนได้กลับมามีอำนาจ แม้จะยังเป็นยุคที่มีการใช้จ่ายสูงอยู่ แต่น้ำหอมก็ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งดูได้จากการที่นโปเลียนได้สั่งให้ผู้ดูแลส่งโคโลญจน์สีม่วงให้เขาในแต่ละสัปดาห์ และในแต่ละเดือนยังใช้น้ำหอมที่สกัดจากดอกมะลิเป็นสองเท่าเป็นจำนวนหกสิบขวด เพื่อใช้ในชีวิตประจำวันของเขา นอกจากนี้ยังมีโจเซฟิน หญิงสาวชาวฝรั่งเศสนางหนึ่งได้มีความหลงใหลน้ำหอมเป็นอย่างมาก เธอได้นำบางส่วนของชะมดมาใช้ทำน้ำหอมและได้ใช้มาเป็นเวลากว่าหกสิบปี จนกระทั่งเธอตายกลิ่นของชะมดก็ยังคงติดอยู่ราวกับเป็นส่วนหนึ่งในห้องส่วนตัวของเธอ |
ดังนั้นกระทั่งปัจจุบันนี้ ประเทศฝรั่งเศสก็ยังคงความเป็นศูนย์กลางของการออกแบบน้ำหอม และเป็นประเทศที่ทำการค้าเกี่ยวกับน้ำหอมมาเป็นอันดับหนึ่งของตลาดยุโรป และยังเป็นที่ยอมรับของนานาอารยประเทศทั่วโลกอีกด้วย |
|
|
|
ส่วนผสมของสารและส่วนผสมที่มีกลิ่นและสารที่ขึ้นอยู่กับสารเหล่านี้อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายชนิดซึ่งใช้เป็นอุตสาหกรรมวัสดุภัณฑ์ (ยกเว้นอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มและโซลูชันที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์) ผลิตภัณฑ์ของเราไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์และไม่ถือว่าเป็นน้ำหอมและน้ำสบู่ |
|